Honda accord

         ฮอนด้า แอคคอร์ด (อังกฤษ: Honda Accord) เป็นรถซีดานขนาดกลางที่ผลิตและพัฒนาโดยบริษัทฮอนด้า ได้เริ่มต้นสายการผลิตในปี พ.ศ. 2519 ในประเทศญี่ปุ่น โดยเครื่องที่ออกมาตัวแรกคือเครื่อง 1600 ซีซี ซึ่งนับเป็นรถขนาดกลาง โดยรูปทรงที่ออกมามีลักษณะใกล้เคียงกับ ฮอนด้า ซีวิคในรุ่นเดียวกัน
        ในช่วงที่แอคคอร์ดถูกออกแบบมาใหม่ๆ แอคคอร์ดนั้นถูกกำหนดให้ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบโดยเฉพาะ ซึ่งกำหนดให้สภาพเครื่องยนต์แตกต่างจากซีวิค แต่เนื่องจากเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ และภาวะน้ำมันแพงในระยะต่อมา ทางฮอนด้าได้มีการปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ รวมทั้งเครื่องยนต์ โดยได้ปรับปรุงและพัฒนาออกมาเป็น 2 รุ่นหลักอย่างที่เห็นในปัจจุบัน คือ รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ และรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ แต่นับจากรุ่นที่สิบ ฮอนด้าแอคคอร์ดจะไม่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบอีกต่อไปและจะใช้เครื่องยนต์ 2 ลิตรเทอร์โบทำตลาดแทน
          นอกจากแบ่งตามขนาดแล้ว ยังแบ่งตามลักษณะของเกียร์เหมือนรถยนต์ทั่วๆ ไป คือ เกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ
          รถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ดที่ผลิตมานั้น จนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 10 Generation (โฉม) ได้แก่

Generation ที่ 1 (รุ่นปี พ.ศ. 2519-2524)

         โฉมแรกนี้ ทำออกมาทั้งสิ้น 6 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2524 โดยรุ่นบุกเบิกมีเครื่องยนต์ขนาด 68 แรงม้า แต่ว่ารุ่นปี พ.ศ. 2523 นั้น ยังผลิตอยู่จนถึง พ.ศ. 2524 จึงเลิกผลิต โดยในสมัยนั้น ระบบเกียร์อัตโนมัตินั้น ยังไม่ถูกพัฒนาเท่าที่ควร ระบบอัตโนมัติได้กินพื้นที่กระปุกเกียร์ จึงไม่สามารถติดเฟืองเกียร์ได้มากเหมือนเกียร์ธรรมดา ในโฉมแรกนี้ ระบบเกียร์มี 3 ระบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 ระดับเกียร์เดินหน้า กับเกียร์อัตโนมัติ 2 กับ 3 ระดับเกียร์เดินหน้า ดังนั้น การมีเกียร์น้อย ทำให้มีปัญหาในด้านของการใช้น้ำมันอย่างสิ้นเปลือง จึงไม่ค่อยมีคนซื้อ แต่ก็ยังมีการผลิต แต่โฉมนี้ ก็เป็นโฉมแรกและโฉมเดียวที่มีการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 2 กับ 3 ระดับเกียร์เดินหน้าด้วย โดยเปิดตัวในปี 1976 โดยเป็นตัวถัง 3 ประตูในตอนแรกใช้แพลตฟอร์มเดียวกับซีวิค ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1,600 cc 68 แรงม้า ต่อมาในเดือนตุลาคมปี 1977 ก็ออกรุ่น 4 ประตูซีดาน และปรับกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 72 แรงม้า ในปี 1978 ก็ออกรุ่นเบนซิน 1,800 cc ในปี 1980 ก็ออกรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด จากเดิมแค่ 2 สปีดให้เลือก โดยในเจเนอเรชันแรกนี้ คู่แข่งที่สำคัญในเวลานั้นคือ โตโยต้า โคโรน่า, มาสด้า 626, ดัทสัน 510 และ มิตซูบิชิ กาแลนต์
    ด้านตัวถัง โฉมแรกนี้แอคคอร์ดมีตัวถังเพียง 2 แบบ คือ Hatchback 3 ประตู กับ Sedan 4 ประตู มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาดคือ 1.6 กับ 1.8 ลิตร

Generation ที่ 2 (รุ่นปี พ.ศ. 2525-2528)

         โฉมที่ 2 นี้ ผลิตออกมาทั้งสิ้น 4 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2525 - พ.ศ. 2528 เปิดตัวกันยายนปี 1981 ในญี่ปุ่นและยุโรปส่วนอเมริกาเหนือในปี 1982 และยังมีฝาแฝดขายในชื่อ Vigor แอคคอร์ดรุ่นนี้เป็นแอคคอร์ดรุ่นแรก ที่ฮอนด้านำไปขึ้นไลน์ประกอบในสหรัฐอเมริกา และเป็นรุ่นแรกที่นำมาขายในราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี 1983 ก็มีรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และยังมีรุ่นพิเศษ Special Edition มีหลังคาซันรูฟ กระจกไฟฟ้า เบาะหนัง และในปี 1984 ก็นำเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี ที่มีระบบหัวฉีด PGM-FI มาใข้เป็นครั้งแรกในราชอาณาจักรญี่ปุ่นโดยมีพละกำลังมากถึง 130 แรงม้าอีกด้วย
          สำหรับประเทศไทย ในช่วงนี้ ฮอนด้า สำนักงานใหญ่เข้ามาทำธุรกิจในไทยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2526 จึงมีการจำหน่ายแอคคอร์ดอย่างเป็นทางการเป็นรุ่นแรก โดยโฉมนี้มีจำหน่ายแค่รุ่นเดียวคือ 1,800 ซีซี คาร์บูเรเตอร์ 100 แรงม้า

Generation ที่ 3 (รุ่นปี พ.ศ. 2529-2532)


        โฉมที่ 3 นี้ ผลิตมาทั้งสิ้น 4 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2529 - พ.ศ. 2532 เปิดตัวครั้งแรกมิถุนายน 1985 ที่ญี่ปุ่นในยุโรปและอเมริกาตามมาภายหลัง นักเลงรถที่ไทยเรียกว่ารุ่นท้ายดำแดงสองชั้นใช้แพลตฟอร์มเดียวกับโดยรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ใช้ช่วงล่างดับเบิลวิชโบนอิสระทั้ง4ล้อและมีระบบเบรก ABS ให้เลือกด้วยในรุ่นดิสก์เบรก 4 ล้อ เป็นรุ่นเดียวที่ไฟหน้าเป็นไฟแบบ Popup รุ่นแรกและรุ่นเดียวแต่รุ่นที่ขายในไทยเป็นแบบธรรมดามีรุ่นเครื่องยนต์ 1,600 cc 1,800 cc และ 2,000 cc นอกจากนี้ยังมีตัวถังหลายแบบ 3 ประตู Hatchback 3 ประตู Shootingbrake เรียกว่า Accord Aerodeck และ 2 ประตู มาในปี 2530 และขายกันถึงปี 2532 ได้รับรางวัลรถยนต์นั่งยอดเยี่ยมแห่งปีของญี่ปุ่นประจำปี 2529 อีกด้วย
        ในไทยนั้นเป็นเครื่อง 2,000 cc (1,955 cc) 105 แรงม้า โดยมี 2 แบบ คือLX เกียร์ธรรมดา 5 สปีด กระจกหน้าต่างและกระจกส่องข้างแบบปรับมือ ล้อกระทะเหล็ก 13 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยางขนาด 185/70R13
EX เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด กระจกหน้าต่างไฟฟ้าและกระจกส่องข้างปรับไฟฟ้า ล้อกระทะเหล็ก 13 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยางขนาด 185/70R13 (เฉพาะรุ่นท้าย ๆ จะได้ล้อแม็กนีเซียมอัลลอย 14 นิ้ว ยางขนาด 195/60R14)

Generation ที่ 4 (รุ่นปี พ.ศ. 2533-2536)


        โฉมนี้ ผลิตมาทั้งสิ้น 4 ปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2533 - พ.ศ. 2536 เปิดตัวครั้งแรกในปี 1989 ใช้พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับฮอนด้า แอสคอต, ฮอนด้า Vigor และฮอนด้า อินสไปร์ ที่เน้นตลาดบนมากกว่าพี่น้องร่วมสายพันธุ์ โฉมนี้นับว่าเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในไทยและในอเมริกายังเป็นรถยนต์นั่งที่ขายดีที่สุดถึง 3 ปีซ้อนอีกด้วย ตลาดรถในประเทศไทย เรียกว่ารุ่นตาเพชร เนื่องจากไฟหน้าเป็นมัลติรีเฟลกเตอร์เมื่อมองแล้วมีลักษณะเหมือนเพชรที่แวววาวจึงเรียกว่าตาเพชร โดยโฉมนี้ในต่างประเทศมีเครื่องยนต์ 1,800 cc 2,000 cc และ 2,200 cc 125 แรงม้า 130 แรงม้าและ 140 แรงม้า
        ในไทยมีเฉพาะเครื่องยนต์ 2,000 cc เท่านั้น มีเซ็นทรัลล็อก พวงมาลัยพาวเวอร์ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือLX / EX เป็นรุ่นต่ำสุด เครื่องยนต์ 2,000 cc คาร์บูเรเตอร์ 112 แรงม้า เบาะหนังเทียม (ไวนิล) กระจกข้างและมือจับเปิดประตูนอกรถสีดำ ล้อกระทะเหล็ก 14 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยางขนาด 185/70R14 โดย LX จะเป็นเกียร์ธรรมดาของรุ่นต่ำสุด และ EX เป็นเกียร์อัตโนมัติของรุ่นต่ำสุด โดยไม่มีความแตกต่างของออปชั่นระหว่างรุ่น LX กับ EX
LXi / EXi เป็นรุ่นท็อป เครื่องยนต์ 2,000 cc หัวฉีด 135 แรงม้า เบาะกำมะหยี่ กระจกข้างปรับด้วยไฟฟ้าสีเดียวกับตัวรถ มือจับเปิดประตูสีเดียวกับตัวรถ ล้อแม็กนีเซียมอัลลอย 15 นิ้ว ยางขนาด 195/60R15 โดย LXi จะเป็นเกียร์ธรรมดาของรุ่นท็อป และ EXi จะเป็นเกียร์อัตโนมัติของรุ่นท็อป (มาหลังการเปิดตัวประมาณ 1 ปี) โดยไม่มีความแตกต่างของออปชั่นระหว่างรุ่น LXi กับ EXi

Generation ที่ 5 (รุ่นปี พ.ศ. 2536-2540)

        โฉมนี้ ผลิตออกมาทั้งสิ้น 4 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2540 ขายในปี 1994 โดยในโฉมนี้ที่ขายในญี่ปุ่นกับยุโรปเป็นคนละโมเดลกันโดยอเมริกายังเป็นโมเดลเดียวกับญี่ปุ่นโดยรุ่นที่ขายในยุโรปญี่ปุ่นขายในญี่ปุ่นในชื่อ Ascot Innova โดยใช้พื้นฐานวิศวกรรมเดียวกับฮอนด้า พรีลูด และแอคคอร์ด รุ่นตาเพชร และยังขายในชื่อ rover 800 และ isuzu aska อีกด้วยในเวอร์ชันญี่ปุ่นส่วนเวอร์ชันยุโรปยังขายในชื่อ rover 600 อีกด้วยและขยับขนาดตัวถังจากรถยนต์นั่งขนาดเล็กเป็นขนาดกลาง ได้รับการวางเครื่องยนต์รหัส F18B ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 สูบ 16 วาล์ว 1,849 ซีซี 125 แรงม้า, รหัส F20B ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 1,997 ซีซี 135 แรงม้า, รหัส F22B ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 2,156 ซีซี 145 แรงม้า และแรงสุดในรหัส H22A ทวินแคม VTEC 2,156 ซีซี 190 แรงม้า ในรุ่น SiR ซึ่งบล็อกนี้เป็นเครื่องที่คนที่ใช้รุ่นตาเพชรและรุ่นนี้ที่ต้องการความแรงเพิ่มต่างตามล่าเครื่องยนต์บล็อกนี้กันอย่างมาก ตามด้วยรหัส C27A ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ V6 2,675 ซีซี 170 แรงม้า H23A ทวินแคม 2,258 ซีซี 162 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 1,994 ซีซี จากโรเวอร์ 105 แรงม้า โดย 2 บล็อกหลังเฉพาะเวอร์ชันยุโรปและ Rover 600 เกียร์อัตโนมัติ ระบบกันสะเทือนปีกนกคู่ ระบบเบรกหน้าดิสก์-หลังดรัม (เฉพาะรุ่น SiR เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ) นอกจากนี้ แอคคอร์ด โฉมที่ 5 ยังได้รับรางวัลรถยนต์นั่งยอดเยี่ยมแห่งปีของญี่ปุ่นประจำปี 2536-2537 (1993–1994 Car of the Year Japan) อีกด้วย
        ในประเทศเปิดตัวเมื่อปี 2537 มีทั้งประกอบนอกและประกอบในโดยในรุ่นนี้นักเลงรถในไทยเรียกว่ารุ่นไฟท้ายก้อนเดียวเพราะมีไฟท้ายชิ้นเดียวบนฝากระโปรง และรุ่นไมเนอร์เชนจ์มาในปี 2539 โดยนักเลงรถในไทยเรียกว่ารุ่นไฟท้าย 2 ก้อนเพราะมีไฟท้าย 2 ชิ้นขายถึงปี 2540 โดยในโฉมนี้มีตัวเลือก 3 แบบ คือLXi / EXi เป็นรุ่นต่ำสุด เครื่องยนต์ 2,156 ซีซี หัวฉีด 138 แรงม้า ในช่วงแรกจะยังใช้ล้อกระทะเหล็ก 14 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยางขนาด 185/70R14 แต่พ้นปีแรกของการเปิดตัวไปแล้ว ได้เปลี่ยนไปใช้ล้อแมกนีเซียมอัลลอย 15 นิ้ว ยาวขนาด 195/60R15 ได้กระจกปรับ-พับไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อก เบาะกำมะหยี่ วิทยุเทป 4 ลำโพง เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดย LXi คือเกียร์ธรรมดาของรุ่นต่ำสุด และ EXi คือเกียร์อัตโนมัติของรุ่นต่ำสุด ไม่มีส่วนแตกต่างของออปชั่นระหว่าง LXi กับ EXi   VTi-L / VTi-E เป็นรุ่นกลาง เครื่องยนต์ 2,156 ซีซี หัวฉีดวาล์วแปรผัน (VTEC) 143 แรงม้า สิ่งที่ได้เพิ่มจากเดิมคือ พวงมาลัยหุ้มหนัง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก โดย VTi-L คือเกียร์ธรรมดาของรุ่นกลาง และ VTi-E คือเกียร์อัตโนมัติของรุ่นกลาง และในช่วงปีท้ายๆ มีการติดตั้งถุงลมนิรภัย ฝั่งคนขับมาด้วย ล้ออัลลอย 15 นิ้ว ยางขนาด 195/60R15
VTi-S เป็นรุ่นท็อป มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ เครื่องยนต์ 2,156 ซีซี หัวฉีดวาล์วแปรฝัน 143 แรงม้า ประกอบจากญี่ปุ่น สิ่งที่ได้เพิ่มคือ เบาะนั่งหุ้มหนังสีครีม เบาะคนขับปรับไฟฟ้า ถุงลมนิรภัยคนขับ และ รุ่นไฟท้ายก้อนเดียว (2537-2538) จะได้ซันรูฟ ส่วนรุ่นไฟท้ายสองก้อน (2539-2540) จะได้เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติและถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า
        โดยในช่วงเจเนอเรชันนี้ แอคคอร์ดก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมมหาศาลในตลาด เนื่องจากแอคคอร์ดรุ่นนี้ได้พัฒนา ขยายขนาดรถยนต์ เครื่องยนต์ และเพิ่มออปชั่นและเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งการออกแบบรถที่ออกมาหรูหรากว่าโคโรน่าและบลูเบิร์ด โตโยต้าจึงไม่สามารถใช้ โตโยต้า โคโรน่า ได้อีกต่อไปจึงสั่ง โตโยต้า คัมรี่ จากออสเตรเลียเข้ามาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับแอคคอร์ดแทนโคโรน่า ส่วนโคโรน่าได้กลายเป็นรถที่ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงกับแอคคอร์ดอีกต่อไป ตำแหน่งการตลาดของโคโรน่าหลังการมาของแอคคอร์ดรุ่นนี้ถูกลดลงไปอยู่กึ่งกลางระหว่าง ซีวิค กับ แอคคอร์ด (หรือเรียกว่า C-D Segment) ต่างจากโคโรน่าตั้งแต่ปี 2536 ลงไป ที่ถูกวางตำแหน่งไว้เป็นรถหรู อยู่ระดับเดียวกับแอคคอร์ดโดยตรง ดังนั้นคนรุ่นหลังจำนวนมากที่มาไม่ทันเฉพาะโคโรน่ารุ่นก่อนๆ จึงมักเข้าใจว่าโคโรน่าไม่ได้เป็นรถระดับเดียวกับแอคคอร์ด เช่นเดียวกับนิสสัน บลูเบิร์ด ซึ่งพบชะตากรรมเดียวกับโคโรน่า แต่นิสสันมี เซฟิโร่ ซึ่งเริ่มจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2533 มาเป็นคู่แข่งแทน โดยบลูเบิร์ดรุ่นสุดท้ายที่ถูกวางตำแหน่งเป็นรถคู่แข่งเต็มขั้น คือ นิสสัน บลูเบิร์ด แอทเทซา ซึ่งต่อมา ทั้งบลูเบิร์ดและโคโรน่า ก็ต่างถูกยุบสายการผลิตไปในที่สุด

Generation ที่ 6 (รุ่นปี พ.ศ. 2541-2545)


        โฉมนี้ ผลิตออกมาทั้งสิ้น 5 ปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2541 - พ.ศ. 2545 โดยตัวถังนี้แบ่งเป็น 3 เวอร์ชั่นคือญี่ปุ่น ยุโรป ที่ใช้พื้นฐานวิศวกรรมจากแอคคอร์ด รุ่นตาเพชรและอเมริกาโดยประเทศไทยตัวถังเดียวกับอเมริกาโดยในญี่ปุ่นเปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี 1997 และยังมีอีกโมเดลที่ใช้พื้นฐานวิศวกรรมเหมือนกันชื่อฮอนด้า Torneo และยังมีขายในชื่อ อีซูซุ อาสก้า โดยมีตัวถัง 4 ประตูซีดานและ 5 ประตู Wagon โดยมีเครื่องยนต์ดังนี้ F18B 4 สูบ VTEC ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพต์ 1,850 ซีซี 140 แรงม้า, F20B 4 สูบ VTEC ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพต์ 1,997 ซีซี 148 แรงม้า มีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือก และรหัส F20B (ในรุ่น SiR) 4 สูบ VTEC ทวินแคม 16 วาล์ว 1,997 ซีซี 180 แรงม้า และ H22A 220 แรงม้าในรุ่น Euro R2.0L ส่วนเวอร์ชั่นอเมริกานั้นเปิดตัวในปี 1997 ใกล้เคียงกันโดยเวอร์ชันนี้เป็นเวอร์ชันเดียวกับของไทยโดยมีตัวถัง 2 ประตูคูเป้ และ 4 ประตูซีดาน โดยมีเครื่องยนต์ดังนี้ F20B5 ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 สูบ 16 วาล์ว 147 แรงม้า F23A1 2,254 ซีซี 150 แรงม้า F23A4 2,254 ซีซี 148 แรงม้า F23A5 2,254 ซีซี 138 แรงม้า J30A1 2,997 ซีซี V6 200 แรงม้า ส่วนในเวอร์ชั่นยุโรปมีทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดาน และ Hatchback โดยมีเครื่องยนต์ F18B2 1,850 ซีซี 136 แรงม้า F20B6 1,997 ซีซี 147 แรงม้า และ H22A 2,157 ซีซี 212 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 1,994 ซีซี จากโรเวอร์ 105 แรงม้า นอกจากนี้เครื่องยนต์ F18B2 ในแอคคอร์ด โฉมที่ 6 ยังได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมสากลหรือ International Engine Of The Year ประจำปี 2543 ในสาขาเครื่องยนต์ความจุระหว่าง 1,400 - 1,800 ซีซี อีกด้วย

Generation ที่ 7 (รุ่นปี พ.ศ. 2546-2550)]


        โฉมนี้ ผลิตออกมาทั้งสิ้น 5 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2546 - พ.ศ. 2550 โดยรุ่นนี้เปิดตัวในปี 2545 ทั้งญี่ปุ่นและอเมริกาส่วนอเมริกาปี 2003 และยังแบ่งเป็น 2 เวอร์ชั่นคือเวอร์ชั่นญี่ปุ่นกับยุโรปและเวอร์ชั่นอเมริกากับไทย ในญี่ปุ่นขายแอคคอร์ดรุ่นปลาวาฬในชื่อฮอนด้า อินสไปร์ ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมีตัวถัง 2 แบบคือ 4 ประตู Sedan และ Wagon 5 ประตู มีเครื่องยนต์ 2,000 cc I-VTEC,2,400 cc I-VTEC ดีเซล 2,200 cc I-DTEC และยังมีเวอร์ชั่นตัวแรง Euro R ใช้เครื่องยนต์ 2,000 cc รหัส K20A 220 แรงม้าซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่อยูในอินเทกร้าไทพ์อาร์ ส่วนเวอร์ชันอเมริกานั้นมีตัวถัง 2 แบบคือ 2 ประตู Coupe และ 4 ประตู Sedan โดยรุ่นนี้มีเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดและธรรมดา 6 สปีดเป็นครั้งแรกอีกด้วย โดยมีเครื่องยนต์ 2 ขนาดคือ 2,400 cc , v6 3,000 cc และยังมีรุ่น Hybrid อีกด้วยโดยใช้เครื่องยนต์ 3,000 cc v6 I-VTEC พร้อมเทคโนโลยีใหม่ VCM ลูกสูบแปรผันอัจฉริยะโดยควบคุมการทำงานของลูกสูบให้ทำงานให้เหมาะสมให้กำลัง 255 แรงม้าและ 16 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าใช้เกียร์กึ่งอัตโนมัติ 5 สปีดดูอัลคลัทช์อีกด้วยและไมเนอร์เชนจ์ในปี 2005 โดยเปลี่ยนไฟหน้าและไฟท้ายเป็นแบบชิ้นเดียว LED ฝากระโปรงท้ายใหม่ นอกจากนี้ แอคคอร์ด โฉมที่ 7 เวอร์ชั่นญี่ปุ่นกับยุโรป ยังได้รับรางวัลรถยนต์นั่งยอดเยี่ยมแห่งปีของญี่ปุ่นประจำปี 2545-2546 (2002–2003 Car of the Year Japan) อีกด้วย ส่งผลทำให้ฮอนด้าเป็นค่ายรถค่ายแรกและค่ายเดียวที่ได้รับรางวัลรถยนต์นั่งยอดเยี่ยมแห่งปีของญี่ปุ่นถึง 3 ปีติดต่อกัน
        ส่วนในประเทศไทย วงการรถเรียกรุ่นนี้ว่ารุ่นปลาวาฬ เปิดตัวครั้งแรกในต้นปี 2546 มีตัวเลือกดังต่อไปนี้2.0S เป็นรุ่นต่ำสุด เพิ่มเข้ามาในปี 2548 เครื่องยนต์ 2,000 cc หัวฉีดวาล์วแปรผัน ราคาประหยัด ออปชั่นต่ำ2.4S เป็นรุ่นต่ำสุดก่อนปี 25482.0E เพิ่มเข้ามาในปี 25482.4E2.4EL เป็นรุ่นที่มีออปชั่นแตกต่างจากตัวที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งไฟหน้า HID พวงมาลัยสลับลายไม้ หัวเกียร์ลายไม้ ถุงลมนิรภัย 4 ลูก (ด้านคนขับ, ด้านหน้าผู้โดยสาร, ด้านข้างคนขับ, ด้านข้างผู้โดยสาร) ในขณะที่รุ่นต่ำกว่ามี 2 ลูก, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (เฉพาะปี 2547 ขึ้นไป)3.0V6 รุ่นนี้ออปชั่นไม่ต่างจาก 2.4EL มากนัก แต่จะได้เครื่องยนต์ 3,000cc
        รุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง โดยมีเครื่องยนต์ 2 ขนาดคือ 2,400 cc i-VTEC 160 แรงม้าและ 3,000 cc i-VTEC v6 220 แรงม้า ต่อมาปี 2548 ก็มีรุ่น 2,000 cc i-VTEC 150 แรงม้าออกมา และไมเนอร์เชนจ์ในปี 2549 โดยเปลี่ยนไฟหน้าไฟท้ายแบบใหม่เป็นชิ้นเดียว LED และฝากระโปรงท้ายแบบใหม่ และปรับกำลังเครื่อง 2,400 cc จาก 160 แรงม้า เป็น 170 แรงม้า แต่รุ่นนี้โฉมไมเนอร์เชนจ์เห็นไม่ค่อยเยอะเท่าไรบนถนนเมืองไทย เนื่องจากช่วงนั้นโตโยต้าได้เปิดตัวคัมรี่ เจเนอเรชั่นใหม่ คนจำนวนมากจึงเลือกออลนิวคัมรี่ มากกว่าแอคคอร์ดรุ่นปลาวาฬที่มีอายุนานพอสมควร แอคคอร์ดโฉมนี้ขายถึงปลายปี 2550


Generation ที่ 8 (รุ่นปี พ.ศ. 2551-2555)


        ฮอนด้า แอคคอร์ด โฉมที่ 8 แบ่งตัวถังออกเป็น 2 เวอร์ชั่นคือ เวอร์ชั่นยุโรป–ญี่ปุ่น (CU1/2) และเวอร์ชั่นทั่วโลก โดยเวอร์ชั่นยุโรป–ญี่ปุ่นนั้น มีลักษณะรูปร่างตัวถังเหมือนกันในประเทศในแถบยุโรป, ประเทศญี่ปุ่น, ประเทศออสเตรเลีย, ประเทศนิวซีแลนด์ และตัวถังนี้มีขายในประเทศสหรัฐอเมริกาในชื่อ อะคูรา ทีเอสเอกซ์ (อังกฤษ: Acura TSX)​ ส่วนเวอร์ชั่นทั่วโลกนั้น มีลักษณะรูปร่างตัวถังเหมือนกันในประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย และเวอร์ชั่นนี้ได้ขายที่ประเทศญี่ปุ่น ในชื่อ ฮอนด้า อินสไปร์ (อังกฤษ: Honda Inspire)
        ส่วนเวอร์ชั่นทั่วโลกนั้นได้เริ่มขายกันในเดือนกันยายนในปีเดียวกัน โดยมี 2 แบบ คือ รุ่นคูเป้ 2 ประตู และรุ่นซีดาน 4 ประตู สำหรับประเทศไทยนั้นเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550
        สำหรับประเทศไทยฮอนด้า แอคคอร์ด โฉมนี้ มีเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า, 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า และเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 275 แรงม้า และเครื่องยนต์ทั้งหมดสามารถรองรับน้ำมันพลังงานทดแทนพิเศษ แก๊สโซฮอล์ E20 ได้ ซึ่งเป็นพลังงานทดแทนใหม่ของประเทศไทยที่สามารถช่วยลดมลพิษได้ และมีรุ่นย่อยดังนี้2.0E เป็นรุ่นต่ำสุด แต่ได้ออปชั่นค่อนข้างครบ (รุ่นก่อนปี 2553 มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติด้วย)2.4E ได้เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ออปชั่นที่ของรุ่นนี้ที่ไม่มีใน 2.0E ได้แก่ แป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย (Paddle Shift), ลายไม้ครึ่งคัน (2.0E ลายไม้เฉพาะจุด), ม่านกระจกหลังไฟฟ้า, กระจกหน้าต่างและกระจกมองข้างเคลือบสารลดการเกาะตัวของหยดน้ำฝน, ไฟเบรกตำแหน่งกลางแบบ LED แต่ออปชั่นที่รุ่นนี้ไม่มีแต่มีในรุ่น 2.0E ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), ไฟตัดหมอกคู่หน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้าง (ได้เพียงคู่หน้า 2 ลูก ในขณะที่ 2.0E ได้ 4 ลูก) อย่างไรก็ตาม รุ่นนี้ถูกตัดออกไปในช่วงปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ปี 25532.0EL / 2.0EL Navigator เป็นรุ่นที่เพิ่มมาในปี 2553 แทนรุ่น 2.4E สิ่งที่ได้เพิ่มคือการตกแต่งลายไม้รอบคัน, ลำโพง Sub-Woofer (เฉพาะ 2.0EL Navigator), และล้ออัลลอย 17 นิ้ว ยางขนาด 225/50R17 (รุ่น E ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ยางขนาด 215/60R16) แต่จะไม่มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ม่านกระจกหลังไฟฟ้า, กระจกหน้าต่างและกระจกมองข้างเคลือบสารลดการเกาะตัวของหยดน้ำฝน2.4EL / 2.4EL Navigator สิ่งที่ได้เพิ่มจาก 2.0EL คือไฟหน้า HID, ไฟหน้าปรับระดับอัตโนมัติ, ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ (รุ่นต่ำกว่ามีเฉพาะการปิดไฟอัตโนมัติ), ระบบการปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กระจกข้างด้านซ้ายปรับลงอัตโนมัติที่เกียร์ถอยหลัง, ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่, ม่านถุงลมด้านข้าง, กระจกตัดแสงอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ม่านกระจกหลังไฟฟ้า, กระจกหน้าต่างและกระจกมองข้างเคลือบสารลดการเกาะตัวของหยดน้ำฝน3.5 V6 สิ่งที่มีมากกว่า 2.4EL ได้แก่ ซันรูฟ, ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร, สวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพนักเท้าแขนเบาะหลัง

Generation ที่ 9 (รุ่นปี พ.ศ. 2556-พ.ศ. 2560)


        โฉมนี้มี 2 ตัวถังคือคูเป้ 2 ประตูและซีดาน 4 ประตู ส่วนระบบเกียร์มี 4 ระบบคือ ระบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ, เกียร์ CVT และเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ โดยต่อไปนี้แอคคอร์ดจะใช้โฉมเดียวกันทั้งโลก อีกทั้งยังมีรุ่นไฮบริดและปลั๊ก-อินไฮบริดจำหน่ายด้วย
        โฉมนี้ถูกเผยโฉมคูเป้เป็นคอนเซปคาร์ครั้งแรกในงานดีทรอยมอเตอร์โชว์ปี 2012 และเริ่มขายจริงในเดือนกันยายนปีเดียวกัน และมีเครื่องยนต์ 3 แบบคือ เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร Earthdream i-VTEC เบนซินฉีดตรง 185 แรงม้า, เครื่องยนต์ 3.5 ลิตร 278 แรงม้า และเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร Hybrid 196 แรงม้าซึ่ง เปิดตัวในงาน LA Autoshow ในภายหลัง
        สำหรับประเทศไทยเปิดตัวเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556 ใช้เครื่องยนต์ตัวเดิม 2.0 ลิตร i-VTEC 155 แรงม้าและเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร Earthdream ที่ไม่ใช่ฉีดตรง 175 แรงม้า โดยไม่มีรุ่น V6 ขายแล้ว นอกจากนี้ ฮอนด้ายังปรับปรุงระบบจ่ายเชื่อเพลิงอีกครั้งให้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้ถึง E85 มีรุ่นย่อยดังนี้2.0EL/2.0EL Navigator เป็นรุ่นต่ำสุด แต่ได้ออปชั่นค่อนข้างครบมาก
2.4EL/2.4EL Navigator
2.4Tech

Generation ที่ 10 (รุ่นปี พ.ศ. 2561 - 2565)


        ฮอนด้า แอคคอร์ด รุ่นที่ 10 ได้เปิดตัวในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ต่อมาได้เริ่มเดินสายการผลิตเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 และเริ่มจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นรุ่นปี 2018ต่อมาได้จำหน่ายในประเทศแคนาดาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 โดยโฉมนี้ได้ติดตั้งฮอนด้า เซนซิง มาในทุกรุ่นย่อยและได้ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบในรุ่นเริ่มต้น กับ 2.0 ลิตรเทอร์โบในรุ่นสูง ในตลาดอาเซียน Honda Accord รุ่นที่ 10 เปิดตัวครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ที่งาน Thailand International Motor Expo และมีการเปิดราคาขายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562

Generation ที่ 11 (รุ่นปี พ.ศ. 2566)


        Honda ปล่อยภาพและข้อมูลตัวรถเบื้องต้นของ All NEW Honda Accord เจเนอเรชั่นที่ 11 เวอร์ชั่นอเมริกา มาพร้อมแนวคิดการออกแบบ Rugged & Sophisticated และสร้างบนโครงสร้างตัวถัง Advanced Compatibility Engineering (ACE) แบบเดียวกันกับ Honda CR-V (G6) เวอร์ชั่นอเมริกามีให้เลือก 6 รุ่นย่อย ได้แก่ LX, EX, Sport, EX-L, Sport-L และ Touring

All NEW Honda Accord G11 มาพร้อมกับชุดไฟหน้าและกระจังหน้าที่มีตรงของเส้นสายมากขึ้น นั่นทำให้ดีไซน์ด้านหน้ามีความปราดเปรียวกว่ารุ่นปัจจุบัน ทว่างานออกแบบด้านข้างและบั้นท้ายกลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เนื่องจากมีเส้นชายขอบล่างบานประตู และกรอบกระจกหน้าต่างแบบ Six-wondow ที่ถูกลดทอนความโค้งงอลงไป สิ่งที่ดูแปลกตาที่สุดบน Accord ใหม่นี้ เห็นจะเป็นสเกิร์ตด้านข้างและชายล่างกันชนหน้า-หลังที่ใช้วัสดุสีดำ ซึ่งโดยปกติเรามักจะพบเห็นในรถยนต์ Crossover SUV มากกว่าจะเป็น Sedan



ที่มา  ฮอนด้า แอคคอร์ด - วิกิพีเดีย



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม